การเลือกปั๊มน้ำ
บทความนี้จะกล่าวถึงปัจจัยที่ต้องใช้ในการพิจารณาเลือกซื้อปั๊มน้ำในภาคอุตสาหกรรม ภาคธุรกิจ และภาคการเกษตร
โดยทั่วไป ปั๊มน้ำที่ใช้ในส่วนงานดังกล่าวมักจะเป็นปั๊มน้ำหอยโข่ง ซึ่งเป็นประเภทหลักของปั๊มน้ำแบบเซนตริฟูกอล (Centrifugal Pump)
การเลือกซื้อปั๊มน้ำในภาคอุตสาหกรรม ภาคธุรกิจ และภาคการเกษตร จะซับซ้อนกว่าการเลือกซื้อปั๊มน้ำสำหรับครัวเรือนหรือปั๊มบ้านอยู่มาก
โดยบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ฝ่ายจัดซื้อ ซึ่งอาจไม่ใช่วิศวกรหรือช่างเทคนิค
รวมไปถึง ผู้ประกอบการ เจ้าของกิจการขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SME ซึ่งมักจะต้องทำหน้าที่ฝ่ายจัดซื้อด้วยตนเอง
มีความรู้ความเข้าใจในการพิจารณาเลือกซื้อปั๊มน้ำในกิจการของตนได้ดียิ่งขึ้น หรือสามารถพิจารณาร่วมกับฝ่ายเทคนิคได้ง่ายขึ้น
ปัจจัย 8 ข้อ เบื้องต้นที่ใช้ในการเลือกปั๊มน้ำ
1. อัตราการไหล (Flow Rate) เป็นปริมาณการไหลของน้ำต่อหนึ่งหน่วยเวลา โดยหน่วยของอัตราการไหลอาจเป็น ลิตรต่อนาที, ลิตรต่อชั่วโมง, หรือลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง
ทั้งนี้อัตราการไหลขึ้นอยู่กับการใช้งาน เช่นใช้เพื่อการชลประทานส่งน้ำ ใช้เพื่อการเกษตร ใช้เพื่อหล่อเย็นเครื่องจักร ใช้ในระบบปรับอากาศขนาดใหญ่ ที่ต้องใช้น้ำในการระบายความร้อน
หรือการส่งน้ำประปาเพื่อใช้ในอาคารสูง ซึ่งต้องเลือกใช้ปั๊มน้ำที่มีอัตราการไหลที่มากเพียงพอต่อการใช้งาน
2. ระยะส่ง หรือแรงดันน้ำ หรือเฮด (Head) ตำราบางเล่มอาจใช้คำว่าแรงดันหัวน้ำ ในที่นี้ขอใช้คำว่า Head แทนความหมายข้างต้น
Head มีหน่วยเป็นความยาว เช่น ฟุต หรือเมตร เพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจ หากปั๊มน้ำเครื่องหนึ่งระบุว่า ปั๊มน้ำมีค่า Head สูงสุดเท่ากับ 20 เมตร นั่นหมายถึงปั๊มน้ำนั้นสามารถส่งน้ำได้สูงสุดขึ้นไปในแนวดิ่งได้ 20 เมตร
(แต่ในความเป็นจริงจะมี Head ที่สูญเสียไปในระบบ ทำให้ปั๊มนั้นไม่สามารถส่งน้ำได้สูงถึง 20 เมตรได้ เนื่องจากแรงเสียดทานจากพื้นผิวท่อ แรงเสียดทานจากอุปกรณ์ต่างๆในระบบท่อ เช่น ข้อต่อ ข้องอ วาล์วต่างๆ
กล่าวคือท่อยิ่งยาว หรืออุปกรณ์ในระบบท่อยิ่งมาก ยิ่งสูญเสีย Head มาก)
ค่า Head มีความสำคัญอย่างไร ตัวอย่างเช่น ปั๊ม A ระบุว่า มีค่า Head สูงสุด 12 เมตร หากเจ้าของกิจการต้องการจัดหาปั๊ม เพื่อส่งน้ำขึ้นไปเก็บในถังน้ำบนอาพาร์ทเมนท์ 5 ชั้น ซึ่งกรณีนี้ ปั๊ม A จะไม่สามารถส่งน้ำขึ้นไปถึงถังได้
3. ขนาดกำลังวัตต์ หรือแรงม้า(HP)ของปั๊มน้ำ เพื่อพิจารณากำลังไฟฟ้าที่ต้องใช้ โดยทั่วไปปั๊มที่ขนาดแรงม้าสูงย่อมใช้พลังงานไฟฟ้าสูง ซึ่งมีผลต่อค่าใช้จ่ายด้านพลังงานไฟฟ้าของกิจการ
ข้อควรระวังคือ ปั๊มน้ำที่มีขนาดแรงม้าเท่ากัน อาจทำงานได้ไม่เหมือนกัน
ตัวอย่าง เช่น ปั๊ม A และ ปั๊ม B ต่างก็มีขนาด 1 แรงม้า (HP) เท่ากัน แต่ปั๊ม A มีค่า Head ที่สูง แต่ค่าอัตราการไหลต่ำ ส่วนปั๊ม B มีค่า Head ต่ำ แต่อัตราการไหลสูง
ดังนั้น หากเป็นการใช้งานในการสูบน้ำขึ้นไปเก็บกักไว้บนอาคารหอพัก จึงพิจารณาเลือกปั๊ม A ที่มีระยะส่ง(Head)สูง แต่อัตราการไหลน้อยได้ เนื่องจากเป็นการส่งไปยังถังพักน้ำ
ส่วนปั๊ม B อาจเหมาะกับการใช้ในการให้น้ำทางการเกษตร ที่ต้องการอัตราการไหลมาก แต่ระยะส่ง(Head)ไม่สูงนักเนื่องจากแหล่งน้ำกับพื้นที่เพาะปลูกมีระดับความสูงแตกต่างกันไม่มาก
4. ระบบไฟฟ้า และความเร็วรอบของมอเตอร์ โดยทั่วไป ระบบไฟฟ้าจะมี 2 แบบ กล่าวคือ ระบบไฟฟ้า 1 เฟส(phase) 220 โวลท์ และไฟฟ้า 3 เฟส 380 โวลท์
โดยส่วนใหญ่ ถ้าเป็นกิจการขนาดย่อมมักใช้ระบบไฟฟ้า 220 โวลท์ เช่นเดียวกับระบบไฟฟ้าที่ใช้ตามบ้านพักอาศัย
แต่ถ้าเป็นโรงงานขนาดใหญ่จะใช้ทั้งระบบไฟ 220 โวลท์ และ 380 โวลท์
ส่วนความเร็วรอบของมอเตอร์ที่ใช้ ต้องสัมพันธ์กับตัวปั๊ม โดยเฉพาะกรณีที่ทำการเปลี่ยนบางส่วนของชุดปั๊ม เช่น กรณีเปลี่ยนเฉพาะมอเตอร์
หากต้องการค่า Head และอัตราการไหลของปั๊มเท่ากับหรือใกล้เคียงปั๊มชุดเดิมก่อนเปลี่ยนมอเตอร์ ต้องแน่ใจว่ามอเตอร์ที่นำมาเปลี่ยนนั้น มีขนาดแรงม้า(HP) และความเร็วรอบเท่ากับมอเตอร์ตัวเดิมที่ใช้งานอยู่
หน่วยของความเร็วรอบของมอเตอร์ไฟฟ้าที่พบเห็นอยู่เสมอคือ 2900 รอบต่อนาที และ 1450 รอบต่อนาที
5. วัสดุของตัวปั๊มรวมถึงชิ้นส่วนภายใน วัสดุที่นิยมใช้ในการผลิตปั๊มและชิ้นส่วนภายใน ได้แก่ เหล็กหล่อ สแตนเลส พลาสติก และทองเหลือง ซึ่งวัสดุแต่ละชนิดมีข้อดีข้อเสียต่างกัน กล่าวคือ
เหล็กหล่อจะมีความแข็งแรง และราคาถูกเมื่อเทียบกับราคาของสแตนเลสและทองเหลือง แต่ข้อเสียคือน้ำหนักที่มาก และตะกรันสนิมที่เกิดขึ้นได้ง่าย
ส่วนพลาสติกข้อดีคือราคาถูก น้ำหนักเบา ไม่เป็นสนิม แต่ข้อเสียคือทนทานน้อยกว่าวัสดุประเภทอื่น
ส่วนสแตนเลสและทองเหลืองมีข้อดีคือมีโอกาสเกิดตะกรันสนิมยากกว่า แต่ราคาก็แพงกว่าเหล็กหล่อและพลาสติกอยู่มาก
6.ประเภทของงานที่ใช้ปั๊มน้ำ กล่าวคือ งานแต่ละประเภทต้องการความสะอาดของน้ำมากน้อยต่างกัน ซึ่งจะสัมพันธ์กับวัสดุของตัวปั๊มและชิ้นส่วนภายในที่เลือกใช้
ตัวอย่างเช่น ปั๊มที่ใช้ในกระบวนการผลิตอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งต้องการความสะอาดสูง จะใช้ปั๊มที่ผลิตด้วยเหล็กสแตนเลส (Stainless Steel) เป็นหลัก
แต่ปั๊มที่ใช้ในกระบวนการแลกเปลี่ยนความร้อนของเครื่องจักร หรืองานทางภาคเกษตรกรรม มักใช้ปั๊มที่ผลิตด้วยเหล็กหล่อ (Cast Iron) ที่ราคาต่ำกว่า ซึ่งยอมให้มีตะกรันสนิมในระบบได้บ้าง
7.ขนาดท่อของปั๊มน้ำ มีหน่วยเป็นนิ้ว หรือมิลลิเมตร โดยขนาดท่อของปั๊มต้องสามารถเข้ากันได้กับระบบท่อที่ออกแบบไว้ หรือกรณีเปลี่ยนปั๊มใหม่แทนของเดิมต้องแน่ใจได้ว่า ขนาดท่อของปั๊มตัวที่เปลี่ยนมาใหม่ต้องเข้ากับระบบท่อชุดเดิมได้
มิฉะนั้นจะมีความยุ่งยากในการติดตั้ง หรือปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ในระบบท่อ เช่น ข้อต่อ ข้อลด ฯลฯ
8.ปัจจัยสุดท้ายคือ งบประมาณในการจัดซื้อ ปั๊มน้ำอุตสาหกรรมที่ขายในท้องตลาด มาจากแหล่งผลิตที่ต่างกันเช่น ประเทศกลุ่มยุโรป ญี่ปุ่น จีน และรวมถึงปั๊มน้ำที่ผลิตในประเทศไทยเอง
ซึ่งปั๊มที่ผลิตในแต่ละประเทศ และแต่ละแบรนด์สินค้า มีราคาที่แตกต่างกัน แต่ก็มีคุณภาพที่แตกต่างกันด้วย เช่น ความทนทาน ประสิทธิภาพการประหยัดพลังงาน การรั่วซึม เสียงขณะทำงาน ฯลฯซึ่งเกิดจากการเลือกใช้วัสดุ การออกแบบและความปราณีตในกระบวนการผลิตปั๊ม รวมไปถึงการ Design ชิ้นส่วนที่ใช้ประกอบชุดปั๊มนั้นๆดังนั้นฝ่ายจัดซื้อ หรือเจ้าของกิจการต้องพิจารณา ทั้งในด้านคุณภาพและราคาเพื่อจัดซื้อได้อย่างเหมาะสมกับงบประมาณที่มีอยู่
Tags : Submersible pump,Sewage pump,Guide rail accessory,Channel non clog impeller,Vortex impeller,Waste water pump,Water pump,Centrifugal pump,Engine pump,Contractor pump,Construction pump,Cutter pump,Drainage pump,Sludge pump,Stainless steel pump,Automatic pump,Float switch,เครื่องสูบน้ำ,เครื่องสูบน้ำบนผิวน้ำ,เครื่องสูบน้ำใต้น้ำ,เครื่องสูบน้ำเสีย,เครื่องสูบน้ำติดเครื่องยนต์,เครื่องสูบน้ำอัตโนมัติ,เครื่องสูบตะกอนผิวน้ำแบบจุ่ม,เครื่องสูบน้ำใสแบบจุ่ม,ปั๊มสูบตะกอนผิวน้ำแบบจุ่ม,ปั๊มสูบน้ำใสแบบจุ่ม,ปั๊มน้ำ,ปั๊มแช่,ปั๊มจุ่ม,ปั๊มน้ำหอยโข่ง,ปั๊มไดโว่,ปั๊มน้ำเสีย,ปั๊มน้ำก่อสร้าง,ปั๊มน้ำอัตโนมัติ,ปั๊มน้ำสำหรับบำบัดน้ำเสีย,ปั๊มน้ำบ่อปลา,ปั๊มน้ำสูบโคลนตะกอน,สวิทช์ลูกลอย,สวิทช์ลูกลอยไฟฟ้า,ใบพัดผ่านตะกอน,ใบพัดน้ำวน