ปั๊มลมเป็นเครื่องมือช่างที่สำคัญ เป็นแหล่งกำเนิดพลังงานของเครื่องมือลม (Air tools) ทั้งหลาย ขับเคลื่อนเครื่องมือลมให้ทำงานได้ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเป่าลม บล็อกลม ปืนยิงตะปูลม ไขควงลม กาพ่นสีลม เป็นต้น การใช้ปั๊มลมจึงได้รับความนิยมในวงการอุตสาหกรรมทั่วไป หรือแม้แต่การใช้งานตามบ้านเรือน ที่จำเป็นต้องใช้ปั๊มลมเป็นตัวช่วย เช่น เติมลมยางจักรยาน, มอเตอร์ไซต์, รถยนต์, ลูกบอล หรือ แม้แต่เป่าลูกโป่งในงานเทศกาล การเลือกปั๊มลมให้เหมาะสมกับงาน จะทำให้การทำงานนั้นราบรื่น ต่อเนื่อง งานออกมาเรียบร้อย
ปั๊มลมมี 4 ประเภท
1. ปั๊มลมแบบลูกสูบสายพาน จะใช้มอเตอร์และสายพานเป็นตัวขับเคลื่อน
2. ปั๊มลมโรตารี่ ใช้มอเตอร์ขับลูกสูบโดยตรง
3. ปั๊มลมออยฟรี (Oil free) เสียงเงียบและไม่ต้องเติมน้ำมันหล่อลื่น
4. ปั๊มลมแบบสกรู ใช้เพลาสกรูตัวผู้และตัวเมียหมุนเข้าหากันเพื่อดูดเเละอัดอากาศผ่านเกลียวสกรู
ปั๊มลม (Air Compressor) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ผลิตลมอัดสำหรับงานช่าง งานอุตสาหกรรม และเครื่องมือลมต่างๆ โดยเฉพาะ ปั๊มลมออยล์ฟรี (Oil-Free Air Compressor) ที่ให้ลมสะอาด ปราศจากน้ำมัน เหมาะสำหรับ งานที่ต้องการอากาศบริสุทธิ์ เช่น งานทันตกรรม อุตสาหกรรมอาหาร และงานพ่นสี
ให้ลมสะอาด ไม่มีน้ำมันเจือปน ไม่ต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง เหมาะสำหรับ งานพ่นสี งานทันตกรรม งานอุตสาหกรรมอาหาร และห้องทดลอง เสียงเงียบ น้ำหนักเบา เคลื่อนย้ายง่าย
ใช้งานต่อเนื่องได้ยาวนานกว่า เหมาะกับงานหนัก เหมาะสำหรับ งานช่าง งานซ่อมบำรุง โรงงานอุตสาหกรรม และเครื่องมือใช้ลม ต้องดูแลรักษาโดยการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเป็นระยะ
- เลือกขนาดแรงดันลม (PSI หรือ Bar) – งานทั่วไปใช้ 8-10 บาร์ งานอุตสาหกรรมใช้แรงดันสูงกว่า
- ตรวจสอบปริมาณลมที่ต้องใช้ (CFM หรือ L/min) – ปั๊มลมต้องมีอัตราการผลิตลมพอเพียงกับอุปกรณ์ที่ใช้
- พิจารณาประเภทของปั๊มลม – ออยล์ฟรีเหมาะกับงานที่ต้องการลมสะอาด ปั๊มลมมีน้ำมันเหมาะกับงานหนัก
- เลือกระบบระบายความร้อน – ปั๊มลมขนาดใหญ่ควรมีระบบระบายความร้อนดี ลดการสึกหรอ
- พิจารณาขนาดถังเก็บลม – ถังขนาดใหญ่เก็บลมได้มากกว่า ช่วยให้ทำงานต่อเนื่องได้นานขึ้น
หน้าที่เข้าชม | 897,173 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 476,029 ครั้ง |
เปิดร้าน | 22 ส.ค. 2561 |
ร้านค้าอัพเดท | 6 ก.ย. 2568 |